Keeping the Blues alive

Keeping the Blues alive

Keeping the Blues alive

สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งกับข้อเขียนจากคอลัมน์ “บลูส์รำพึง” ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นคอลัมน์ที่อยากจะเขียนเรื่องอะไรก็เขียน ทำนองว่าคิดไปเขียนไปประมาณนั้น อะไรมากระทบความคิดถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบลูส์และคิดว่าน่าสนใจพอผมก็จะเอามาเขียนไว้ในนี้ครับ  

วันนี้จั่วหัวไว้ว่า “Keeping The Blues Alive” แล้วก็ตั้งใจเอาคลิปวิดีโอแปะไว้ก่อนเลย แทนที่จะปิดท้ายอย่างผ่านๆมาเพราะอยากที่จะเอาคลิปอันนี้เป็นจุดตั้งต้นครับ ศิลปินในคลิปนี้คือ Igor Prado และวงของเขา สถานที่คือร้านชื่อ Blues City Deli ใน St. Louis ครับ คลิปนี้พิเศษยังไง? ทำไมถึงอยากเอาคลิปเป็นจุดเริ่มต้นบทความ? ก็ต้องบอกอย่างนี้ครับ ว่าถ้าไม่นับความเก่งกาจของตัว Igor Prado และวงของเขาซึ่งเห็นได้ชัดแล้วนั้น สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นและค่อนข้างประทับใจในคลิปนี้ก็คือ นี่คือวงบลูส์จากบราซิลที่พูดภาษาอังกฤษยังติดสำเนียงละตินแต่เป็นที่รู้กันว่าเป็นวงที่เล่นบลูส์ในแบบเทรดิชั่นได้อย่างไม่มีที่ติ กำลังเล่นเพลงฮิตจากปี ’52 ของ Rosco Gordon ในร้านอาหารในเมือง St. Louis ให้กับลูกค้าซึ่งเป็นอเมริกัน (ใช่ครับ! Blues City Deli คือร้านอาหารที่ดังเสียด้วย แต่บังเอิญว่าเจ้าของดันเป็นแฟนบลูส์ตัวยงเลยมักจะจัดงานเชิญนักดนตรีที่เขาชื่นชอบมาเล่นอยู่เรื่อยๆ) และที่สำคัญมันเกิดขึ้นในเวลากลางวัน จากคลิปที่ผมแปะไว้ด้านบนซึ่งดูเผินๆเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าแทบทุกบริบทนั้นแตกต่างไปจาก set up เดิมๆสำหรับการออกไปฟังบลูส์ในแบบที่เราคุ้นชินกันพอสมควร แต่หากทุกอย่างที่พอเหมาะพอเจาะมารวมกัน(นักดนตรีที่ดี, ผู้ฟังที่เข้าใจ, เจ้าของสถานประกอบการที่พร้อมสนับสนุน) ช่วงเวลาดีๆที่มีดนตรีบลูส์เป็นแบ็คกราวนด์ก็เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา  

สำหรับในบ้านเรานั้นไม่รู้ว่าเริ่มที่ไหน เมื่อไหร่ แต่เราๆท่านๆก็ชินกับภาพของบลูส์คลับที่เต็มไปด้วยขี้เมาและควันบุหรี่ set list ที่แต่ละวงมีนั้นก็มักจะมีเพลงซ้ำกันอยู่ไม่มากก็น้อยจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สร้างสถานการณ์ที่แทบไม่มีตัวเลือกให้กับทั้งนักดนตรีและผู้ฟัง มันเป็นงูกินหางครับไม่มีที่มาที่ไปไม่มีใครผิด นักดนตรีไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆเพราะกลัวลูกค้าไม่สนใจ ลูกค้าก็เลยรู้จักเพลงน้อยลงๆเพราะนักดนตรีเล่นแต่เพลงเดิมๆ เป็นวงจรที่ไม่สร้างสรรค์เลยครับสำหรับนักดนตรีที่อยากเล่นดนตรีจริงจัง โดยเฉพาะแนวดนตรีที่เป็นกระแสรองอยู่แล้วอย่างดนตรีบลูส์ ทั้งๆที่ความหลากหลายในดนตรีบลูส์นั้นจริงๆแล้วมีอยู่มากพอให้เลือกฟังเลือกศึกษา และมันก็จะเป็นเรื่องดีมากๆถ้าขอบเขตของการเสพดนตรีบลูส์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเวลากลางคืนและ set list ซ้ำๆ อคูสติคบลูส์ในร้านกาแฟตอนกลางวันก็เข้าท่านะผมว่า หรือบลูส์แจมตอนบ่ายๆวันเสาร์หรืออาทิตย์นี่ถ้าถามผมตอนนี้คิดว่าน่าสนใจกว่าไปเดินจตุจักร ทุกวันนี้บางทีทางเข้ามันก็มีแค่ทางเดียวแคบๆอย่างมือกีตาร์ถ้าเล่นไม่ได้อย่าง SRV, Hendrix, Clapton แทบไม่กล้าขึ้นแจม บางทีก็ชวนสงสัยว่าแล้วถ้ามันมีใครที่ชอบต่างไปจากนี้ล่ะ? ชีวิตนี้บางทีวันก็สั้นเกินกว่าจะไปทำตามมาตรฐานที่ใครก็ไม่รู้ตั้งไว้นะครับ ลองคิดง่ายๆถ้ามีวงหลายๆวงที่ศึกษาในแต่ละแนวทางให้เกิดเป็นสุ้มเสียงเฉพาะของวงไปเลยก็คงน่าสนใจดีวงนี้เล่น Swamp Blues, วงนี้เล่น Swing Blues, วงนี้เล่นบลูส์ร็อค, วงนี้เล่นคลาสสิคบลูส์ ถ้าเมื่อไหร่มีอย่างนี้ได้วงการบลูส์คงคึกคักน่าดูครับ  

เขียนมาจนใกล้จบก็ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ได้เขียนตำหนิความเป็นไปของวงการนะครับ แต่เขียนด้วยความหวังว่าหากมีวงดนตรีใหม่ๆ หรือสถานประกอบการไหนที่อยากจะลองมองนอกกรอบทำอะไรใหม่ๆแทนที่จะมองมุมเดียวว่าความแตกต่างเป็นเรื่องเสี่ยง แต่บางทีการหลีกหนีจากความจำเจมาเริ่มทำอะไรใหม่เป็นคนแรกๆอาจจะให้ผลลัพธ์ที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้ อย่างเขาว่าเป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางเสือครับ.

Blow Wind Blow

Blow Wind Blow

Blow Wind Blow

วันนี้ไม่ทราบว่าลมฟ้าอากาศที่อื่นๆเป็นอย่างไรกันบ้างนะครับ แต่ที่นนท์ฯที่ผมอยู่นี่ออกจะผิดปรกติอยู่สักหน่อย หน้าฝนแท้ๆฟ้าก็มืดแต่ฝนดันไม่ยอมตก แต่ลมนี่พัดแทบไม่หยุดมาสามสี่วันแล้วครับ เห็นอย่างนี้เลยเอามาเป็นหัวเรื่องของคอลัมน์ “บลูส์รำพึง” ที่จะเขียนวันนี้เสียเลย   ลมพัดไม่หยุดแบบนี้สำหรับผมเพลงบลูส์เพลงนี้แว่บขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรกเลยครับ “Blow Wind Blow” เพลงของมัดดี้ วอเตอร์สที่อัดเสียงครั้งแรกไว้ในปี 1953 ครับ เพลงนี้นักดนตรีสายชิคาโก้บลูส์นำไปคัฟเวอร์กันบ่อยครับ เวอร์ชั่นอื่นๆที่น่าฟังก็จะเป็นของลูกศิษย์ลูกหา(หรือว่าลูกวงเก่า)ของมัดดี้ที่นำไปคัฟเวอร์หลังจากแยกตัวออกไปทำโปรเจคท์ของตัวเองนั่นเองครับ ไม่ว่าจะเป็น James Cotton, Jimmy Rogers, Mojo Buford, Sam Lay หรือ Mud Morganfield ลูกชายของมัดดี้เอง ส่วนคนดังที่สุดที่เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอีริค แคลปตันนั่นเองครับ  

เวอร์ชั่นที่ผมแนบมาในคลิปนี่เป็นช่วงของการกลับมามีชื่อเสียงเป็นระลอกสองของมัดดี้ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระแส British Invasion ซึ่งตรงนี้ก็ตลกดีนะครับเพราะว่าคนที่เป็นเป็นแรงบันดาลใจให้วงอังกฤษเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Rolling Stones, Cream, Jimi Hendrix, John Mayall ก็คือมัดดี้และกลุ่มนักดนตรีจาก Chess Records นั่นเอง  

พูดถึงลักษณะการทำวงของมัดดี้นี่จะว่าไปก็เด่นอยู่อย่างหนึ่งคือลักษณะการเป็นจ่าฝูงเป็นผู้นำของเขานี่ชัดเจนมากๆครับ บารมีของเขานั้นรู้สึกได้จริงๆ และการเลือกนักดนตรีมาร่วมวงไม่ว่าจะตำแหน่งไหน และในยุคสมัยไหนนั้นจัดได้ว่าสายตาแหลมคมเสมอ ตั้งแต่วงแรกของมัดดี้ที่อัดเพลงให้กับ Chess Records จนมาถึงวงสุดท้ายนั้นนักดนตรีทุกตำแหน่งเรียกได้ว่าตำนานของวงการจริงๆครับ ลองไล่กันเล่นๆนะครับเอาแค่มือฮาร์โมนิก้าก็จะมี Little Walter, Junior Wells, Big Walter, George Smith, James Cotton, Mojo Buford, Paul Oscher, Carey Bell, Jerry Portnoy ทุกคนจบจากสถาบันมัดดี้ไปนี่เรียกได้ว่าระดับหัวหน้าวงกันทั้งนั้นครับ หากท่านผู้อ่านสนใจก็ลองติดตามหางานฟังเรียงชื่อไปเลยครับ แล้วลองเช็คเครดิตดูว่าใครเป็นใคร ใครมาช่วยงานของใคร เราจะได้เห็นภาพ Family Tree ของชิคาโก้บลูส์ที่มีภาพของมัดดี้เป็นปู่ทวดชัดเจนเลยครับ

ลองมาดูในคลิปนี้ซึ่งเป็นคลิปที่มาจากการแสดงสดในปี 1976 ที่ Dortmund, Germany เรื่องที่ผมอยากพูดถึงก็คือการรวมวงในแบบชิคาโก้แท้ๆที่มัดดี้และเพื่อนๆนักดนตรีเป็นคนวางรากฐานเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ Chess Records ครับ จะเห็นได้ว่าเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบปีมัดดี้ก็ยังทำวงเหมือนเดิมครับ พลังและเสน่ห์ของชิคาโก้บลูส์ก็ไม่ได้ลดลงไปเลย เสน่ห์ที่ว่านั้นมาจากการที่ทำแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ล้ำขอบเขตของคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันตัวโน้ตเหล่านั้นก็สอดประสานกันอย่างถูกที่ถูกทาง มัดดี้เองมักจะเล่นกีตาร์ไฟฟ้าในลักษณะเดียวกันกับที่เขาเคยเล่นอคูสติคซึ่งหลักๆก็คือการ accompany การร้องของตัวเองนั่นเอง ความแข็งแรงของริทึ่มนั้นสร้างมาจากด้านหลังของวงซึ่งในที่นี้ก็คือ Willie “Big eyes” Smith มือกลองและ Calvin Jones มือเบส ซึ่งการเล่นของทั้งคู่นั้นจะเน้นการสร้างริทึ่มที่กระชับและแข็งแรงตรงไปตรงมามากกว่าที่จะสร้างอะไรที่ซับซ้อน ในขณะที่ Bob Margolin มือกีตาร์และ Pinetop Perkins มือเปียโนก็จะเป็นตัวเชื่อมเติมเต็มช่องว่างระหว่างริทึ่มและการซัพพอร์ตมัดดี้ ส่วน Jerry Portnoy นั้นก็จะเล่นในลักษณะถาม – ตอบกับ phrasing ในการร้องของมัดดี้ตลอดเวลา อยากให้ผู้อ่านลองสังเกตุดูครับ ทั้งหมดนี้เมื่อเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน มันคือความสวยงามของชิคาโก้บลูส์ครับ ความกระชับ ความสร้างสรรค์ที่อยู่ในความมีระเบียบ พลังที่อยู่ในขอบเขต และนี่คือศาสตร์บลูส์แห่งเมืองเหนือที่มัดดี้เป็นคนวางรากฐานเอาไว้ครับ

รายชื่อนักดนตรีในคลิป Muddy Waters(V,Gt), Bob Margolin(Gt), Calvin Jones(B), Pinetop Perkins(Pn), Jerry Portnoy(H), Willie “Big eyes” Smith(D)

Fenton Robinson – Mellow Guitar Genius

Fenton Robinson – Mellow Guitar Genius

Fenton Robinson – Mellow Guitar Genius

วันนี้ผมนั่งฟังรายการ Lovin’ Blues Radio (เทปที่สาม) ที่คุณป๊อปจัด ฟังไปได้ถึงเพียงเพลงที่สองที่คุณป็อปเลือกมาก็ต้องนึกแปลกใจผสมดีใจว่าโอ้โฮนี่มีคนที่รสนิยมตรงกับเราขนาดนี้ ทั้งๆที่เพลงที่ผมเลือกมาฟังหรือเล่นกับที่วงบางทีก็เลือกกึ่งทำใจว่าถึงเราจะคิดว่ามันเป็นเพลงที่ดีแต่บางทีอาจจะเข้าถึงยากเกินไปสำหรับลูกค้าหลายๆท่าน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอามาเล่น เพราะฉะนั้นอารมณ์แบบนี้เวลาเจอคนคอเดียวกันมันดีใจบอกไม่ถูกครับ

เพลงที่สองของเทปนี้คุณป๊อปเปิดเพลง You Don’t Know What Love Is ของ Fenton Robinson ซึ่งบังเอิญช่วงหลังผมเองก็เล่นเพลงนี้กับที่วงบ่อยมาก เลยจะถือโอกาสพูดถึงศิลปินคนนี้สักหน่อยครับ เรื่องราวชีวิตของเฟนตันในฐานะนักดนตรีบลูส์นั้นอันที่จริงสรุปให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เป็นศิลปินฝีมือดีที่เหมือนโชคไม่ดีอยู่ผิดที่ผิดเวลา ไม่ได้กลายเป็นที่รู้จักและจดจำเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นทั้งที่ฝีมือใกล้เคียงกัน อันที่จริงเขาเองนั้นนับว่ารุ่นไม่ห่างกันมากกันนักร้องบลูส์ระดับแถวหน้าอย่าง B.B. King และ Bobby Blue Bland เป็นหนึ่งในกลุ่มนักดนตรีบลูส์จากมิสซิสซิปปี้ที่ไปแสวงโชคในชิคาโก้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่กลุ่มแรกๆที่ขึ้นไปจากตอนใต้(อย่างเช่นกลุ่มที่ไปอยู่กับ Chess Records) แต่ก่อนจะขึ้นไปนั้นเขามีชื่อเสียงระดับท้องถิ่นอยู่แล้วจากการออกอัลบั้มในเทนเนสซี ก็ถือได้ว่าเขานั้นไม่ถึงกับลำบากขนาดยากจนข้นแค้นแต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จจนดังเปรี้ยงปร้างอย่างเพื่อนร่วมรุ่นหลายๆคน

สไตล์ของเขานั้นค่อนข้างนุ่มนวล สุภาพ และมักจะเด่นไปที่เพลงช้า (Slow Blues) ซึ่งก็มักจะอยู่ในโทนเสียงไมเนอร์ทำให้ภาพลักษณ์ของการเป็นนักร้องสไตล์เศร้าเหงาอาจจะติดตัวเขาอยู่สักหน่อย แต่ถ้ามองภาพรวมว่าในวงการบลูส์นั้นมีศิลปินที่ขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมน testosterone เป็นส่วนใหญ่แล้วนั้น การมีศิลปินสไตล์นุ่มลึกแบบเฟนตันก็เป็นทางเลือกในการฟังที่ควรรู้จักไว้เหมือนกันครับ เพลงสร้างชื่อของเขาเป็นเพลงช้าแทบทั้งหมดครับไม่ว่าจะเป็น As The Years Go Passing By, You Don’t know What Love Is, Somebody Loan Me A Dime เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งมักจะถูกนำไปคัฟเวอร์โดยศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากกว่าตัวเฟนตันเองแทบทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Albert King, Jeff Healy, Boz Scaggs & Duane Allman, Rick Derringer, Sean Costello, Gary Moore หรือแม้กระทั่ง Santana เป็นต้น

คลิปที่เลือกมาให้ฟังอันนี้คือเพลงไตเติ้ลแทร็คจากอัลบั้ม Somebody Loan Me A Dime อัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเขาซึ่งออกกับ Alligator Records ในปี 1974 ครับ.

Sonny Boy Williamson II

Sonny Boy Williamson II

Sonny Boy Williamson II

เมื่อก่อนตอนสมัยที่ผมเพิ่งฟังบลูส์มายังไม่นานมาก นอกจากเหล่ากีตาร์ฮีโร่สายบลูส์ทั้งหลายที่ทุกคนต้องรู้จัก จะให้ย้อนกลับไปถึงต้นตอของบลูส์เอาเข้าจริงๆตอนนั้นก็นึกออกอยู่ไม่กี่ชื่อ Robert Johnson, Muddy Waters, Three kings, Buddy Guy พวกนี้มองย้อนกลับไปจริงๆแล้วก็ต้องโทษนิตยสารดนตรีต่างๆอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะถึงแม้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้เข้าถึงข้อมูลที่เราไม่เคยได้รู้(สมัยนั้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตยังเข้าถึงไม่ง่ายเหมือนตอนนี้) แต่ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน ที่จำกัดเรื่องราวให้เรารับรู้วนๆเวียนๆอยู่แค่ Jimi Hendrix, SRV, เรื่องการค้าทาส, ขายวิญญานตรงทางแยก, ฯลฯ เหตุผลก็ง่ายๆตรงที่ว่าเรื่องพวกนี้มันขายง่าย วัยรุ่นอ่านแล้วมันซูซ่าอยากไปหยิบกีตาร์มาฝึกโซโล่ แต่บ่อยเข้าหรือนานๆเข้าพวกนี้จริงๆมันก็พาเราไปถึงทางตันที่น่าเบื่อได้เหมือนกัน ให้นึกสงสัยว่า เอ๊ะ บลูส์มันมีแค่นี้จริงๆหรือยังไง

ศิลปินในกลุ่ม Blues Masters รุ่นใกล้เคียงกันกับ Muddy Waters ที่มีชื่อเสียงรองๆลงไปคนแรกที่ผมได้ฟังและประทับใจมากและอยากเอามาพูดถึงคือ Sonny Boy Williamson II(Alex Rice Miller) มือฮาร์โมนิก้าฝีมือดีที่นิสัยส่วนตัวอาจจะกวนเบื้องล่างของใครต่อใครในยุคนั้นอยู่สักหน่อย เรื่องราววีรกรรมของเขานั้นเยอะครับ เพราะความที่เป็นคนตุกติก ติดเหล้า และนิสัยเรื่องผู้หญิงนั้นก็มักจะสร้างปัญหาให้ตัวเองอยู่เรื่อย ยกตัวอย่างวีรกรรมอันดับแรกก็ต้องพูดถึงที่มาของชื่อของเขาสักหน่อย ชื่อจริงของเขานั้นอยู่ในวงเล็บซึ่งก็คือ Rice Miller ส่วนชื่อ Sonny Boy Williamson นั้นที่ต้องมีหมายเลขสองต่อท้ายก็เพราะเขาไปสวมรอยเอาชื่อคนอื่นมาใช้ครับ! เรื่องของเรื่องคือตอนที่เขาเริ่มจะมีชื่อเสียงขึ้นมาในเมืองมิสซิสซิปปี้ในฐานะมือฮาร์โมนิก้านั้น ในชิคาโก้นั้นก็มีมือฮาร์โมนิก้าฝีมือดีชื่อ Sonny Boy Williamson อยู่แล้ว คนนี้นี่ฝีมือดีถึงขนาดเรียกว่าบิดาของบลูส์ฮาร์โมนิก้าเลยก็ว่าได้ ส่วน Rice Miller ขณะนั้นจะเห็นเป็นโอกาสหรืออย่างไรไม่ทราบได้ก็ถือโอกาสประกาศกับเจ้าของเฟสติวัล ผู้ว่าจ้างทั้งหลายในแถบมิสซิสซิปปี้ว่าเขานี่แหละคือ Sonny Boy Williamson แต่เนื่องจากเมืองทั้งสองนั้นอยู่ไกลกันมากจนคนสมัยนั้นแทบไม่มีทางรู้ กว่าเรื่องจะไปถึงหู Sonny Boy ตัวจริง Rice Miller ก็ได้กลายเป็น Sonny Boy ไปแล้วเรียบร้อย เกิดเป็นความสับสนอยู่พักใหญ่จนต่อมาบริษัทแผ่นเสียงจึงตัดสินใจใส่หมายเลขหนึ่ง และสองต่อท้ายชื่อของทั้งคู่เพื่อแก้ปัญหา อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่กล่าวขานถึงนิสัยตุกติกตรงข้ามกับฝีมือที่ไม่เป็นรองใครก็คือเรื่องที่เขาไปรับงานจ้างมาให้เอาวงไปเล่นที่ Juke Joint เงินก็รับเขามาสำหรับทั้งวง คนในวงก็เตรียมตัวกันไปเล่นที่งาน ไปถึงหน้างานก่อนงานเริ่มเขาก็ดันไล่สมาชิกออกทั้งวงเสียอย่างนั้น อ้างเหตุผลต่างๆนานา แล้วเขาก็ไปบอกเจ้าของงานว่าร้านแค่นี้เขาคนเดียวก็เอาอยู่สบายๆ เรื่องของเรื่องคือเขาทำได้เสียด้วย สุดท้ายคือรับงานราคาเต็มวง แต่เข้าไปเล่นคนเดียว ค่าจ้างรับเต็มๆคนเดียว! คนแบบนี้ก็มีครับ แสบจริงๆ

พูดเรื่องนิสัยส่วนตัวของเขาไปพอประมาณก็ขอพูดถึงผลงานดนตรีของเขาสักหน่อย ศิลปินนี้เป็นคนแรกครับสำหรับผมที่ทำให้เริ่มเห็นว่าบลูส์นั้นไม่ต้องดัง ไม่ต้องตะคอก ตะโกน ก็เสียวสันหลังวาบได้ สไตล์ของเขานั้นกึ่งร้องกึ่งพูด เป่าฮาร์พไม่ดัง แต่สำเนียงและเทคนิคดี ทั้งร้องทั้งเป่าสื่อความหมายได้ชัดเจนมากครับ หลายๆเพลงที่เนื้อเพลงพูดถึงคนอารมณ์หมิ่นเหม่ที่จะก่ออาชญากรรม หรือทำอะไรไม่ดีนี่บางทีผมเชื่อสนิทใจ เพราะมันรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้แสดงเป็นใครอื่น มันมาจากคนที่เป็นแบบนั้นจริงๆ พูดอย่างไรก็ร้องและเล่นออกมาอย่างนั้น ตามขนบดั้งเดิมของบลูส์เลยก็ว่าได้ นอกเหนือไปจากนั้นหลายๆเพลงของเขานั้นก็ดีเข้าขั้นเป็นบลูส์สแตนดาร์ดครับ ถึงจะไม่ได้ถูกนำมาเล่นบ่อยครั้งเท่าเพลงของ Muddy Waters แต่เพลงอย่าง Help Me, Don’t start Me To Talking, Eyesight To The Blind ก็น่าจะผ่านหูแฟนเพลงบลูส์กันมาบ้างไม่เวอร์ชั่นใดก็เวอร์ชั่นหนึ่ง และเรื่องสุดท้ายที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือลีลาบนเวทีของเขาครับ อย่างที่บอกไปข้างต้นครับว่าแนวการเล่นการร้องของเขานั้น ไม่ได้กระโชกโฮกฮาก ออกไปทางกึ่งร้องกึ่งพูดเสียด้วยซ้ำ บุคลิกบนเวทีและการแต่งตัวของก็เหมือนการเล่นของเขายังไงยังงั้นครับ ไม่ว่าจะเป็น Suitcase, ร่ม, Bowler hat ที่เขามักจะต้องถือขึ้นเวทีเพื่อเป็นพร็อพการแสดง ย้ำนะครับ เพื่อเป็นพร็อพเท่านั้น! การพูดหรือร้องที่บางครั้งตั้งใจเบาจนทั้งสตูดิโอต้องเงี่ยหูฟัง บทจะโชว์ฝีมือขึ้นมาบางครั้งเขาก็เอาฮาร์โมนิก้ายัดใส่ปากแล้วเป่าโดยไม่ใช้มือ หรือแม้กระทั่งเป่าทางจมูกก็ทำมาแล้ว! ถือเป็น One of a kind จริงๆครับ น่าเสียดายว่าเขานั้นไม่ชีวิตอยู่ไม่นานมาก เสียชีวิตเมื่ออายุห้าสิบกว่าๆเนื่องจากสภาพร่างกายไม่แข็งแรงอันเป็นผลต่อเนื่องมาจากลักษณะการใช้ชีวิตอันหนักหน่วง ไม่เช่นนั้นคงมีงานดีๆให้เราได้ย้อนกลับไปติดตามมากกว่านี้

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของยอดมือฮาร์โมนิก้าตัวแสบคนนี้ที่อยากเอามาเล่าสู่กันฟังครับ.

B.B. King – Live at the Regal

B.B. King – Live at the Regal

B.B. King – Live at the Regal

ถ้าจะพูดถึงนักดนตรีบลูส์ที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลกับนักดนตรีรุ่นหลังมากที่สุดก็เห็นจะไม่มีใครเกิน B.B. King ถ้าไม่นับว่าบีบีถือเป็นคนที่สุขภาพดีมีอายุยืนยาวส่งผลให้ได้ทำงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่องผ่านหลายยุคหลายสมัยแล้ว วิธีการเล่นและร้องของเขาถ้าเทียบกับเหล่าศิลปินระดับตำนานในยุคเดียวกันนั้น จะเห็นได้ว่าดนตรีในลักษณะของบีบีคิงนั้นจะมีความร่วมสมัยอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตาม จนอาจจะพูดได้ว่านี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดนตรีของเขานั้นมีอิทธิพลมากต่อวงการบลูส์ เพราะลักษณะที่ร่วมสมัยนั้นเป็นปัจจัยเชื่อมสำคัญที่ทำให้นักดนตรีจากต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมรู้สึกได้ว่าบลูส์นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องของคนดำจากตอนใต้เพียงอย่างเดียว ใครๆก็สามารถเข้าถึงบลูส์และตีความบลูส์ในแบบของตนได้ นอกจากนี้ดนตรีที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าบลูส์แบบ traditional ก็ยังเป็นการเปิดประตูบานใหม่ สร้างกลุ่มผู้ฟังใหม่ๆ และเบิกทางไว้ให้กับนักดนตรีรุ่นหลังๆได้มีโอกาสสร้างงานและถูกค้นพบได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ผมเชื่อแน่ๆว่าหลายท่านๆที่เป็นแฟนดนตรีบลูส์จะมีอัลบั้มของบีบีคิงอยู่ในครอบครองจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่ถ้าทันซื้อกันก็อาจจะเป็นอัลบั้มที่ออกมาตั้งแต่ช่วงยุค 90’s เรื่อยมาจนอัลบั้มสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต แต่อัลบั้มที่ผมอยากจะแนะนำวันนี้คืออัลบั้มที่ออกมาตั้งแต่ปี 1965 ครับ ชื่อว่า Live At The Regal ถ้าถามว่าทำไมต้องอัลบั้มนี้ ทั้งๆที่อัลบั้มอื่นที่ดีๆก็เยอะมาก ก็ต้องบอกเลยครับว่าเวลาผมอ่านบมสัมภาษณ์นักดนตรีบลูส์ระดับแถวหน้าของวงการทีไร ไม่ว่าจะเป็น Eric Clapton, John Mayall, Mark Knopfler, John Mayer , Jimmie Vaughan และศิลปินอื่นๆอีกหลายคนนั้น หากมีการพูดถึงบีบีคิงก็ต้องมีชื่ออัลบั้มนี้เอ่ยขึ้นมาแทบจะร้อยทั้งร้อยในฐานะอัลบั้มที่เป็นแรงบันดาลใจ

ตรงนี้หากท่านลองไปฟังจะเห็นได้ชัดเจนครับว่าต่างกับภาพของบีบีที่เราคุ้นเคยในยุคหลังๆพอสมควรเลยทีเดียว บีบีในปี 65 นั้นเพิ่งจะอายุสี่สิบ ยังยืนไหวไม่ได้นั่งเก้าอี้อย่างที่เราคุ้นเคยกันในช่วงหลัง เป็นนักร้อง นักเล่าเรื่องในภาษาบลูส์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งในวงการ และเล่นกีตาร์ดุดันกว่าที่เราๆอาจจะคุ้นเคยกันพอสมควรเลยครับ ทั้ง tone และ phrasing นับว่าเป็นอัลบั้มที่ดิบเอาเรื่อง แต่ก็เต็มไปด้วยพลังงาน โดยเฉพาะการโต้ตอบระหว่างบีบีเอง และคนดูใน Regal Theater ก็ยิ่งทำให้ได้บรรยากาศมากขึ้นไปอีก ตรงนี้ถ้าผู้อ่านท่านไหนมีเครื่องเสียงดีๆ เบียร์เย็นๆถือไว้ในมือ หลับตาลงพาลอาจจะจินตนาการไปได้จริงๆครับว่าเรานั้นนั่งอยู่ในบลูส์คลับหรือไม่ก็ไปอยู่ในคอนเสิร์ตตรงนั้นกับเขาด้วยจริงๆ

อัลบั้มนี้ครบเครื่องจริงๆอย่างที่เขาว่ากันครับไม่ว่าท่านจะเป็นแฟนเพลงบลูส์ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน หรือนักดนตรีที่ต้องการศึกษาบลูส์จากหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของตำนานบลูส์ที่ชื่อ B.B. King คนนี้ แนะนำให้หามาไว้ในครอบครองครับ